บทความวิจัย : ผลของการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
เพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
โชติมา อ่ิมอินทร์ 1
และภูฟ้า เสวกพันธ์ 2
ผลของการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
เพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
THE EFFECTS OF USING A CARTOON ILLUSTRATION LESSONS
IN THE ENGLISH SUBJECT FOR INCREASE STUDY ATTENTIVE BEHAVIOR
FOR THE ATTENTION DEFICIT HYPER
ACTIVITY DISORDER (ADHD) CHILD
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเปรียบเทียบความใส่ใจต่อการเรียนในการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเด็กสมาธิสั้นระหว่างระยะเส้นฐาน ระยะทดลองและระยะถอดถอน ในการศึกษาครั้งนี้ ศึกษากับนักเรียนที่มีปัญหาสมาธิสั้น กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 2 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยมีเกณฑ์ในการเลือกกลุ่มตัวอย่างดังนี้ 1) เป็นนักเรียนที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นเด็กสมาธิสั้น 2) เป็นนักเรียนที่ได้รับการประเมินพฤติกรรมจากครูประจำชั้นหรือครูผู้สอนที่ใช้วิธีประเมินพฤติกรรมอย่างเป็นระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย 1.แบบประเมินพฤติกรรมนักเรียน 2. ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน 3.แผนการจัดการเรียนรู้การใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 4.ชุดการสังเกตและแบบบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนแบบช่วงเวลา การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การหาค่าความถี่และค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นตลอดระยะเวลาการทดลอง 3 ระยะ และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียน หาค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ (%) และนำเสนอข้อมูลในรูปตารางและแผนภูมิแท่งและกราฟเส้นประกอบคำบรรยาย
ผลการวิจัยพบว่าเด็กสมาธิสั้นมีพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเมื่อมีการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน และเมื่อมีการถอดถอนการสอนด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน 2 สัปดาห์พบว่าพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษยังมีความคงทนอยู่
คำสำคัญ : ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน
ความใส่ใจต่อการเรียน เด็กสมาธิสั้น
ABSTRACT
The result found that ; ADHD
child have increasingly study attentive behavior after using a Cartoon
illustration lessons and 2 week later withdraw teaching by Cartoon illustration
lessons, the study attentive behavior become to retention behavior
บทนำ
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 หมวด 2
มาตรา 10 บัญญัติไว้ว่า การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกัน
ในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์
สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือร่างกายพิการ หรือทุพลภาพหรือบุคคล ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
เด็กสมาธิสั้น (Attention
Deficit Hyperactivity Disorder
Students) ในปัจจุบันพบว่ามีปัญหาของเด็กสมาธิสั้นเพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นในต่างประเทศหรือในประเทศไทยก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่มีสิ่งเร้าต่าง
ๆ มากมายกว่าเมื่อในอดีต ตามสถิติพบว่าเด็กที่มีสมาธิสั้นและภาวะอยู่ไม่สุขนี้ จะมีอยู่ประมาณร้อยละ
5-10 ในห้องเรียน ซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อย มีปัญหาในการเรียนเช่นเดียวกับเด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้
(ผดุง อารยะวิญญู. 2542,หน้า 8) มีปัญหาการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา
การอ่าน การสะกด การคัดลายมือ เขียนแล้วลบ ลบแล้ว
เขียนเนื่องจากการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาทั่วไปตามแนวหลักสูตรสถานศึกษาพุทธศักราช
2544 มุ่งเน้นที่นักเรียนปกติที่เป็นนักเรียนกลุ่มใหญ่เป็นหลัก
ดังนั้นจึงเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ไม่สอดคล้องกับนักเรียนที่มีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มสมาธิสั้น
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ
ภาวะสมาธิสั้น(Attention Deficit Hyperactivity Disorder) เป็นความผิดปกติทางพฤติกรรมที่พบได้ประมาณร้อยละ 5- 10 ของเด็กวัยเรียน โดยมีอัตราส่วนเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง 4 – 6 เท่าจากการสำรวจเด็กไทยในเขตกรุงเทพมหานครพบว่ามีเด็กกลุ่มนี้ประมาณ 2-3
คน ในห้องเรียนขนาด 50 คนอย่างไรก็ตามปริมาณความซุกซนของภาวะสมาธิสั้นผันแปรตามเครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัย(เพียงทิพย์
พรมพันธุ์, 2549)
อาการหลักของโรคสมาธิสั้นมีอยู่ 3 ประการคือ
อาการสมาธิสั้นหรือขาดสมาธิ (Inattention)
ในบางรายเด็กสมาธิสั้นอาจจะมีอาการดื้อ ต่อต้าน เกเร ก้าวร้าว หรือมีพฤติกรรมอื่นๆ
แปลก ๆ ร่วมด้วย
สมาธิสั้น
ได้รับการบรรยายในวารสารการแพทย์อย่างเป็นทางการมาเกือบ100 ปีแล้ว คือในปี ค.ศ. 1902 นายแพทย์
Still ได้บรรยายถึงเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งมีปัญหา ซนและสมาธิสั้น
เขาพบว่าสาเหตุเกิดจากปัญหาทางสมองและไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องต่อมาประมาณปี
ค.ศ. 1937 ได้มีการใช้ยากระตุ้นสมาธิในการรักษาโรคสมาธิสั้น
จากนั้นถึงปัจจุบันโรคนี้ก็ได้รับการศึกษามากขึ้น
บางคนก็ว่าเกิดจากการกินอาหารบางชนิด
เช่นสีแต่งอาหาร น้ำตาล ฯลฯ บางคนก็ว่าเกิดจากการเลี้ยงดู
บางคนก็ว่าเรื่องนี้ไม่มีจริง ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ได้ศึกษาและพบเรื่องนี้มีจริง
และมีมากด้วย คำว่า “โรคสมาธิสั้น”
ทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าเด็กมีปัญหาสมาธิสั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าปัญหาของเด็กที่เป็นโรคนี้มิใช่อยู่ที่การควบคุมสมาธิเพียงอย่างเดียวแต่อยู่ที่การควบคุมตนเองในหลายด้าน
เช่น อารมณ์ การเคลื่อนไหว ฉะนั้นเด็กที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็น “ โรคสมาธิสั้น” จึงมักมีอาการร่วมหลายอย่างนอกจากสมาธิบกพร่อง
เด็กมักจะซน ใจร้อน ไม่เป็นระเบียบ ฯลฯ (ธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์, 2545,หน้า 3)
เด็กบางรายอาจมีการพัฒนาการล่าช้า มีปัญหาด้านภาษา และการพูด
ปัญหาการเรียนรู้บกพร่อง
และในบางรายอาจมีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลเกิดขึ้นร่วมด้วย
เด็กเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึกหมดความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกโง่ รู้สึกเป็นคนเลว
ไม่มีใครรัก มีความรันทด อมทุกข์ เก็บกด
จนอาการสมาธิสั้นพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าและโรคอารมณ์แปรปรวน(Affective disorders) ต้องใช้ยาในการดำรงชีวิตเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นจะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาความรุนแรง
และสร้างภัยให้กับสังคม หรืออาจไปเสพยา ทะเลาะวิวาท
ทำร้ายกันจนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต (นภัทร พุกกะณะสุต,2551)
เด็กที่มีพฤติกรรมทางด้านสมาธิสั้นควรจะได้รับการส่งเสริมและฝึกฝนอย่างถูกต้องย่อมมีความรู้ความสามารถ
ที่พัฒนาตัวเองได้เต็มศักยภาพของบุคคล ถ้าเด็กได้รับพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจสติปัญญา
อารมณ์ และสังคมมีความรู้ทันตามเทคโนโลยีและการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆจากสื่อ และอุปกรณ์ต่างๆ
ทันสมัย จะทำให้เด็กเหล่านี้ได้รับความรู้และพัฒนาตนเองให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขโดยให้มีการเรียนร่วมกับเด็กปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้(กองการศึกษาเพื่อคนพิการ,
2544, หน้า 24)
กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษจึงกำหนดให้มีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษขึ้นตั้งแต่ระดับประถมศึกษาเพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีในการใช้ภาษาอังกฤษให้กับเยาวชนไทย
โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ด้านต่างๆ ทั้งนี้มีเป้าหมายพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการฟัง การพูด
การอ่าน
และการเขียนไปพร้อมๆกันเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ทั้งชีวิตประจำวันและเพื่อความก้าวหน้าในอนาคตได้อย่างแท้จริง
(กรมวิชาการ,2545,หน้า1) การจัดการเรียนการสอนด้วยภาพการ์ตูน คณะนิสิตปริญญาโทเทคโนโลยีทางการศึกษา
(2522 ,หน้า 204) ได้รวบรวมประโยชน์ของการ์ตูนที่มีต่อการเรียนการสอนไว้ว่าภาพการ์ตูนทำให้นักเรียนสนใจเนื้อหาวิชามากขึ้นและช่วยในการนำเข้าสู่บทเรียนได้ง่าย
ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหา สนใจในการอ่านมากขึ้น ผู้เรียนมีความสนุกสนาน
ผ่อนคลายความเครียด และช่วยให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี
ทำให้การเรียนดีขึ้นโดยการใช้ภาพการ์ตูนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบการสอนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
เพราะการ์ตูนจะช่วยเร้าความสนใจและดึงดูดให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนและหันมาสนใจในกิจกรรมการเรียน
เกิดการเรียนรู้ได้ดีเพราะมีภาพประกอบ
และช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำสิ่งต่างๆในเนื้อหาบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น
และสามารถใช้การ์ตูนกับการเรียนเป็นรายบุคคล
ช่วยให้เด็กที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำและสมาธิสั้นมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้นเพราะการ์ตูนจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจการ์ตูนช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดช่วยให้เกิดความสนุกสนานและมีความต้องการที่จะศึกษาในเนื้อหาบทเรียนเพิ่มขึ้น(จินตนา
ใบกาซูยี,2542)
จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้ศึกษาเทคนิควิธีการสอนใหม่
ๆ และผลิตสื่อการสอนที่หลากหลายเพื่อนำมาใช้จัดการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้มีพัฒนาการทางการเรียนที่ดีขึ้นสื่อการสอนนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กสมาธิสั้น
เพราะสื่อคือ ศูนย์รวมความสนใจของนักเรียน ช่วยให้บรรยากาศของการเรียนการสอนมีชีวิตชีวา
นักเรียนจะได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นหลายอย่าง จากการได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัสและได้
แสดงการสอนด้วยการใช้สื่อภาพการ์ตูนเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่เป็นที่นิยมเนื่องจากนักเรียนส่วนมากชอบภาพการ์ตูนเพราะการ์ตูนเป็นความใฝ่ฝันของเด็ก
ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน จะทำให้เด็กเกิดความสนใจ
ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของเจนจิรา รัตนเดชาพิทักษ์ (2537,
หน้า 67)
กล่าวถึงความสนใจของเด็กที่มีต่อภาพการ์ตูนว่าหนังสือการ์ตูนได้รับความสนใจจากเด็กอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตามเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกก็สามารถเข้าใจหนังสือการ์ตูนได้จากภาพประกอบและได้รับความสนุกสนานจาการ์ตูนเช่นกัน
จึงทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มมากขึ้นและช่วยส่งเสริมให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะทำการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดยการนำภาพการ์ตูนมาใช้ในการการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาปีที่2เพื่อเสริมสร้างสมาธิของเด็กในกลุ่มที่มีพฤติกรรมสมาธิสั้นซึ่งผู้วิจัยมองเห็นว่าการใช้ภาพการ์ตูนมีความน่าสนใจที่จะทำให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินและทำให้เด็กเกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้นซึ่งการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนเป็นสื่อที่ช่วยสร้างบรรยากาศในห้องเรียนทำผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน
ติดตามการเรียนโดยไม่เบื่อหน่าย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุชาติ หล่อนกลาง (2536,หน้า 5)กล่าวไว้ว่า การใช้ภาพการ์ตูนประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
สามารถสร้างอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในการเรียนการสอน
ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนมีชีวิตชีวา
เร้าความสนใจและทำให้นักเรียนประสบผลในการเรียนภาษามากขึ้นนอกจากนี้ความน่าสนใจและความสะดุดตาของภาพการ์ตูนจะสามารถทำให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียนการสอนได้ง่าย ซึ่งการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนนั้น
จึงมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาอังกฤษ ทั้งทางด้านความรู้
ด้านทักษะการนำไปใช้และเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ มีสมาธิและมีทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
เพิ่มพูนประสบการณ์ทางภาษาเพื่อเป็นแนวทางในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ตลอดจนสร้างเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ
และคาดหวังว่าผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
จุดมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบความใส่ใจต่อการเรียนในการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเด็กสมาธิสั้นระหว่างระยะเส้นฐาน
ระยะทดลองและระยะถอดถอน
วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลองเฉพาะราย (Single – subject experimental design) เรื่องผลของการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
มีขั้นตอนในการศึกษาค้นคว้าและสรุปผลการศึกษาค้นคว้า ดังนี้
กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 2 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) โดยมีเกณฑ์ในการเลือกกลุ่มตัวอย่างดังนี้
1.1 เป็นนักเรียนที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นเด็กสมาธิสั้น
1.2
เป็นนักเรียนที่ได้รับการระบุจากครูประจำชั้นหรือครูผู้สอนและจากการสังเกตของผู้วิจัยว่าว่าเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรม
ไม่สนใจเรียน ไม่ฟังครูสอน ลุกจากที่ ชวนเพื่อนคุย
ซึ่งได้จากแบบประเมินพฤติกรรมของ (Conners’ Teacher and Rating Scale)
1. แบบประเมินพฤติกรรมนักเรียนโดยอาจารย์ประจำชั้น
Conners’ Teacher and Rating Scale เป็นเครื่องมือที่นำมาจาก ศาสตราจารย์แพทย์หญิง อุมาพร ตังสมบัติ
มีทั้งหมด 28 ข้อ
นำมาใช้ประเมินพฤติกรรมสมาธิสั้นของนักเรียน
2.
ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนสำหรับเด็กสมาธิสั้น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
3.
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความใส่ใจสำหรับเด็กสมาธิสั้น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 32 แผน ดังนี้
ระยะเส้นฐาน
3.1 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 1 - 4 เรื่อง The Alphabets
3.2
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 5 - 8
เรื่อง My body
ระยะทดลอง
3.3
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 9 - 11 เรื่อง My
Classroom
3.4 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
ที่ 12 - 14 เรื่อง
Food and Beverage
3.5 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่
15 - 17 เรื่อง Fruits
3.6 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 18- 20 เรื่อง
Clothing and accessories
ระยะถอดถอน
3.8 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 25 - 27 เรื่อง Days of the week
3.9
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 28 - 29
เรื่อง Months of the year
3.10 แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 30 – 32 เรื่อง colors
4. ชุดการสังเกตและแบบบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนแบบช่วงเวลา
การวิจัยครั้งนี้ทำการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคลโดยผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนการทดลองโดยคัดกรองเด็กสมาธิสั้นด้วยแบบประเมินพฤติกรรมนักเรียน
โดยอาจารย์ประจำชั้น Conners’ Teacher and Rating Scale และได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์
โดยเลือกวันและเวลาในการทดลองเป็นช่วงเวลา ได้แก่ วันจันทร์ (เช้า) 1 ชั่วโมง วันอังคาร (เช้า) 1 ชั่วโมง วันพุธ (เช้า) 1
ชั่วโมง วันพฤหัสบดี (เช้า) 1 ชั่วโมง รวมระยะในการทดลองทั้งหมด
8 สัปดาห์ๆละ4 ครั้งๆละ 60นาที จำนวน 32 ครั้ง และแบ่งการทดลองเป็น 3 ระยะดังนี้คือ
ระยะที่ 1 ระยะเส้นฐาน (Base line)
เป็นระยะที่ผู้วิจัยสังเกตและบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
ลงในแบบบันทึกช่วงเวลาโดยไม่ใช้การสอนด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ระยะนี้ผู้วิจัยสอนวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้แบบเรียนปกติ
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ที่ 1-8) เป็นระยะเวลาติดต่อกันทั้งหมดเป็นเวลาจำนวน
2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 60
นาที จำนวน 8 ครั้ง
ระยะที่ 2 ระยะทดลอง (Treatment)
ระยะนี้ปรับพฤติกรรมโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
ที่ 9-24) โดยใช้เวลาในการสอนจำนวน 4 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 60 นาที จำนวน 16
ครั้ง
ผู้วิจัยสังเกตและบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นในขณะที่ครูสอนโดยใช้แบบบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนแบบช่วงเวลา
ในช่วงเวลาการปรับพฤติกรรม
ระยะที่
3 ระยะถอดถอน (Wilthdrawal) เป็นระยะหยุดการปรับพฤติกรรมการเรียนด้วยภาพการ์ตูนโดยผู้วิจัยสอนวิชาภาษาอังกฤษโดยใช้แบบเรียนปกติ
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25- 32)ผู้วิจัยบันทึกเวลาการเกิดความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
โดยใช้แบบบันทึกพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนแบบช่วงเวลา ใช้เวลา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน วันละ 60 นาที จำนวน 8 ครั้งในการทดลองครั้งนี้เป็นการตกลงการปรับพฤติกรรมระหว่างผู้วิจัยกับเด็กสมาธิสั้นจำนวน
2 คน
เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างเด็กสมาธิสั้นกับนักเรียนคนอื่นในชั้นเรียน ครูประจำชั้นจะเป็นผู้ปรับพฤติกรรมร่วมกับผู้วิจัยด้วย โดยครูประจำชั้นได้ชี้แจงกับนักเรียนทุกคนว่าจะมีการทดลองปรับพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนในชั้นเรียนซึ่งจะมีผู้วิจัยเข้ามาสังเกตพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนร่วมกับครูประจำชั้น
แบบแผนการทดลอง
เป็นการวิจัยเชิงทดลองเฉพาะราย (Single – subject experimental design)
การวิเคราะห์ข้อมูล
ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น
2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 วิเคราะห์ความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
โดยใช้เวลาการเกิดความใส่ใจต่อการเรียนในระยะเส้นฐาน ระยะทดลองและระยะถอดถอน
โดยแสดงค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยความถี่และร้อยละ
ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ความใส่ใจต่อการเรียนในการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเด็กสมาธิสั้นระหว่างระยะเส้นฐาน
ระยะทดลองและระยะถอดถอน
สรุปผลการวิจัย
ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์ความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
โดยใช้เวลาการเกิดความใส่ใจต่อการเรียนระหว่างระยะเส้นฐาน ระยะทดลองและระยะถอดถอน
โดยแสดงค่าความถี่ ค่าเฉลี่ยความถี่และร้อยละ
เด็กสมาธิสั้นคนที่ 1
ระยะเส้นฐาน
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 1-8) พบว่าพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน
8 ครั้ง รวมความถี่เป็น 95 ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 11.88 ครั้ง
ระยะทดลอง
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9 – 24)
ความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนของเด็กสมาธิสั้นพบว่าความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน
16 ครั้ง รวมความถี่เป็น 294 ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 18.38 ครั้ง
ระยะถอดถอน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25 – 32) ความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษใน
ของเด็กสมาธิสั้นนั้น พบว่าความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน 8 ครั้ง รวมความถี่เป็น 134 ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 16.75 ครั้ง
สรุปพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นพบว่าระยะเส้นฐาน
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 1-8)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ค่าความถี่รวม 95
ครั้ง ค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 11.80 ครั้ง และในระยะทดลอง (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9-24)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ค่าความถี่รวมคือ
294 ครั้ง ค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 18.38 ครั้ง และระยะถอดถอน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25-32)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนค่าความถี่รวม 134
ครั้งค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 16.75 ครั้ง ซึ่งในระยะถอดถอนความใส่ใจต่อการเรียนลดลงแต่มีค่าความถี่สูงกว่าในระดับเส้นฐานที่
4.95
ระยะเส้นฐาน
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 1-8) พบว่าพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของเด็กสมาธิสั้นนั้นความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน
8 ครั้ง รวมความถี่เป็น 99 ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 12.38 ครั้ง
ระยะทดลอง
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9 – 24)
ความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ของเด็กสมาธิสั้นพบว่าความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน
16 ครั้ง รวมความถี่เป็นเวลา 300ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 18.75 ครั้ง
ระยะถอดถอน
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25 – 32) ความใส่ใจต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ของเด็กสมาธิสั้นนั้น
พบว่าความใส่ใจต่อการเรียนจากการสังเกตจำนวน 8 ครั้ง
รวมความถี่เป็นเวลา 136ครั้ง
คิดเป็นค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจเป็นเวลา 17.00 ครั้ง
สรุปพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นพบว่าระยะเส้นฐาน
(แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 1-8)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ค่าความถี่รวม 99
ครั้ง ค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 12.38 ครั้ง และในระยะทดลอง (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9-24)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน ค่าความถี่รวมคือ
300 ครั้ง ค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 18.75 ครั้ง และระยะถอดถอน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25-32)
เป็นระยะที่สังเกตพฤติกรรมโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนค่าความถี่รวม 136
ครั้งค่าเฉลี่ยความถี่สูงสุดอยู่ในระดับ 17.00 ครั้ง ซึ่งในระยะถอดถอนความใส่ใจต่อการเรียนลดลงแต่มีค่าความถี่สูงกว่าในระดับเส้นฐานที่
6.37
2.ผลการวิเคราะห์ความใส่ใจต่อการเรียนในการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษของเด็กสมาธิสั้นระหว่างระยะเส้นฐาน
ระยะทดลองและระยะถอดถอน
เด็กสมาธิสั้นคนที่
1 พบว่า
ระยะเส้นฐาน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่
1-8) เป็นระยะที่ใช้แผนการเรียนปกติ
ความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด
มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม 10 คะแนนรวม 34 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 42.50 โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด 4.25
ระยะทดลอง (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9-24) เป็นระยะที่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
ความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม
10 คะแนนรวม 129 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.60
โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด 8.06
ระยะถอดถอน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 25-32) เป็นระยะที่กลับมาใช้แผนการเรียนปกติความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานและแบบฝึกหัด
มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด คะแนนเต็ม 10 คะแนนรวม 59 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 73.80 โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานและแบบฝึกหัด 7.38
เด็กสมาธิสั้นคนที่ 2 พบว่า
ระยะเส้นฐาน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 1-8) เป็นระยะที่ใช้แผนการเรียนปกติ ความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดใน
ของเด็กสมาธิสั้น มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม 10
คะแนนรวม 32 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 40.00
โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด 4.00
ระยะทดลอง (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่ 9-24)
เป็นระยะที่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
ความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดในแผนการสอนที่ 9-24 ของเด็กสมาธิสั้นทั้ง 2 คนมีดังนี้
มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม 10 คะแนนรวม 129 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.60 โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด 8.06 มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม
10 คะแนนรวม 131 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.90 โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด
8.19
ระยะถอดถอน (แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลที่
25-32) เป็นระยะที่กลับมาใช้แผนการเรียนปกติความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานและแบบฝึกหัด
มีความใส่ใจต่อการเรียนจากการทำใบงานและแบบฝึกหัดคะแนนเต็ม 10 คะแนนรวม 61 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.30 โดยมีค่าเฉลี่ยของความใส่ใจจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัด 7.63 อภิปรายผล
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาผลของการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนสำหรับเด็กสมาธิสั้น โดยมีสมมติฐานว่า เด็กสมาธิสั้นมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน
1.ผลการวิเคราะห์ความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นโดยใช้เวลาการเกิดความใส่ใจต่อการเรียนระหว่างระยะเส้นฐาน ระยะทดลองและระยะถอดถอนผลการศึกษาพบว่า เด็กสมาธิสั้นมีพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้
1.2 ระยะทดลอง (แผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ 9-24)เด็กสมาธิสั้นมีพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น
เด็กสมาธิสั้นคนที่ 1 มีค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียนเป็นเวลา
18.38 ครั้ง จาการสังเกต 16 ครั้ง
รวมความถี่เป็น 294 ครั้ง เด็กสมาธิสั้นคนที่ 2 มีค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียนเป็นเวลา 18.75 ครั้ง จากการสังเกต 16 ครั้ง รวมความถี่เป็นเวลา 300
ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาการใส่ใจต่อการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเด็กมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้นมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมายและสามารถทำงานเสร็จทันเวลา
จะเห็นได้ว่าการสอนด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
สามารถนำการ์ตูนมาเป็นสื่อ ดังเช่น สมหญิง กลั่นศิริ,2521, หน้า 74 ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนการสอนด้วยภาพการ์ตูน ไว้ว่า
การ์ตูนช่วยส่งเสริมการสอนของครู ช่วยให้บทเรียนน่าสนใจและทำให้ผู้เรียนเรียนโดยไม่น่าเบื่อหน่าย
และการ์ตูนช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนเร็วยิ่งขึ้น
เพราะการ์ตูนช่วยสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจได้เร็วยิ่งขึ้น
และยังทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ สนุกสนานและติดตามการสอนของครูโดยตลอด
1.3 ระยะถอดถอน
(แผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ 25-32)
เด็กสมาธิสั้นมีพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น คนที่ 1 มีค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียนเป็นเวลา 16.75 ครั้ง จากการสังเกต 8 ครั้ง รวมความถี่เป็น 134
ครั้ง เด็กสมาธิสั้นคนที่ 2 มีค่าเฉลี่ยความถี่ของความใส่ใจต่อการเรียนเป็นเวลา
17.00 ครั้ง จากการสังเกต 8 ครั้ง
รวมความถี่เป็น 136 ครั้ง ซึ่งเด็กทั้งสองคนมีความใส่ใจต่อการเรียนลดลงจากระยะทดลองแต่ยังคงมีความใส่ใจต่อการเรียนสูงกว่าในระยะเส้นฐานซึ่งถือว่าการสอนด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนส่งผลให้เกิดความคงทนของพฤติกรรมความใส่ใจต่อการของเด็กสมาธิสั้น
1.1
ระยะเส้นฐาน (แผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ 1-8)
เป็นระยะที่สอนโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นคนที่
1คิดเป็นร้อยละ42.50 และคนที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 40.00
1.2
ระยะทดลอง (แผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ 9-24)
เป็นระยะที่สอนโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นคนที่
1 คิดเป็นร้อยละ 80.60 คนที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 81.90 จากการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนเด็กมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้น
ทำงานเสร็จทันเวลา ไม่ลุกจากที่ ซึ่งสอดคล้องกับ (จินตนา ใบกาซูยี,2542)
การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาพการ์ตูนประกอบการสอนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอน
เพราะการ์ตูนจะช่วยเร้าความสนใจและดึงดูดให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนและหันมาสนใจในกิจกรรมการเรียน
เกิดการเรียนรู้ได้ดีเพราะมีภาพประกอบ
และช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำสิ่งต่างๆในเนื้อหาบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น และ
สามารถใช้การ์ตูนกับการเรียนเป็นรายบุคคล
ช่วยให้เด็กที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำและสมาธิสั้นมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้นเพราะการ์ตูนจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจการ์ตูนช่วยผ่อนคลายอารมณ์เครียดช่วยให้เกิดความสนุกสนานและมีความต้องการที่จะศึกษาในเนื้อหาบทเรียนเพิ่มขึ้น
1.3 ระยะถอดถอน
(แผนการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคลที่ 25-32)
เป็นระยะที่กลับมาสอนโดยไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนจากการทำใบงานหรือแบบฝึกหัดความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นคนที่
1 คิดเป็นร้อยละ 73.80 เด็กสมาธิสั้นคนที่
2 คิดเป็นร้อยละ 76.30 ความใส่ใจต่อการเรียนลดลงจากระยะทดลองแต่มีความใส่ใจและความคงทนเพิ่มขึ้นมากว่าระยะเส้นฐานซึ่งไม่ใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน
ข้อเสนอแนะ
จากผลการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ
ผลการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนสำหรับเด็กสมาธิสั้นผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะ
ดังนี้
1.ข้อเสนอแนะทั่วไป
1.1 จากการทดลองพบว่าแผนการสอนในระยะทดลองทีเรียนด้วยภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนสามารถช่วยให้เด็กสมาธิสั้นมีความใส่ใจต่อการเรียนเพิ่มขึ้น
สมารถทำงานเสร็จทันเวลา ตั้งใจฟังครูสอน ไม่ลุกจากที่
ดังนั้นการนำภาพการ์ตูนมาประกอบคำศัพท์จะทำให้เด็กมีความใส่ใจต่อการเรียนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.2 ควรมารจัดสภาพแวดล้อมที่ลดสิ่งรบกวนจากภานอก
และให้มีบรรยากาศที่เหมาะสมกับลักษณะของเด็กสมาธิสั้น
เช่นไม่ควรมีอุปกรณ์ของเล่นอื่นๆ
อยู่บริเวณใกล้ๆหรือห้องเรียนที่ทำกิจกรรมไม่ควรมีรถวิ่งผ่าน
หรือห้องเรียนไม่ควรมีหน้าต่างที่มองเห็นนักเรียนชั้นอื่น
เนื่องจากเด็กสมาธิสั้นมีความสนใจกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายส่งผลให้เด็กสมาธิสั้นไม่สนใจในกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนหันไปสนใจสิ่งเร้ารอบตัวแทน
2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรมีการศึกษาถึงกิจกรรมการสอนต่างๆ
เช่น การเล่นเกมส์ การเล่านิทาน การทำหนังสือเล่มเล็ก เพื่อนำมาประกอบบทเรียน
ที่ส่งผลในการเพิ่มพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้น
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กสมาธิสั้นต่อไป
2.2 เนื่องจากในการศึกษาครั้งนี้
ศึกษาเรื่องพฤติกรรมความใส่ใจต่อการเรียนของเด็กสมาธิสั้นเมื่อใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียน
ในการศึกษาครั้งต่อไปควรมีการศึกษาถึงผลสัมฤทธิ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย
2.3
ควรมีการศึกษาการใช้ภาพการใช้ภาพการ์ตูนประกอบบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความใส่ใจต่อการเรียนสำหรับเด็กพิเศษประเภทต่างๆ
เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้
2
อาจารย์ประจำสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่
2) พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545.
กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์อักษรไทย.
กองการศึกษาเพื่อคนพิการ. (2544).
คู่มือการจัดการเรียนร่วม. กรุงเทพฯ
: กองพัสดุและ
อุปกรณ์การศึกษา
กรมสามัญศึกษา.
24.
คณะนิสิตปริญญาโทเทคโนโลยีทางการศึกษา. (2522). นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการ
ศึกษา. กรุงเทพ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร : 204
จินตนา ใบกาซูยี. (2534). “แนวการจัดทำหนังสือสำหรับเด็ก”
การส่งเสริมและพัฒนาหนังสือ
การ์ตูนไทย.
ศูนย์พัฒนาหนังสือกรมวิชาการ.
จินตนา ใบกาซูยี. (2542). การเขียนสื่อการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น มปป.
เจนจิรา รัตนเดชาพิทักษ์. (2537). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมในภาพในหนังสือการ์ตูน
กับพื้นฐานวัฒนธรรมที่มี่ความเข้าใจในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์. (2545). เพื่อความเข้าใจเด็กสมาธิสั้น/ซน
สำหรับผู้ปกครอง
และครู. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา.
นภัทร พุกกะณะสุต. (2551). สมาธิสั้นหายได้ไม่ยาก. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
ผดุง อารยะวิญญู. (2542). เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม. กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์แว่น
แก้ว.
ผดุง อารยะวิญญู. (2544). วิธีสอนเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น. กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์แว่น
แก้ว.
พัชรีวัลย์ เกตุแก่นจันทร์. (2541). เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น. กรุงเทพฯ : พี.เอ.อาร์ต
และพริ้นติ้ง.
เพียงทิพย์ พรมพันธุ์.
(2550). เด็กสมาธิสั้น. กรุงเทพฯ : ฟอร์ไชล์ด.
รดาธร นิลลออ.
(2548). ผลของการใช้โปรแกรมการปรับพฤติกรรมโดยการชี้แนะด้วย
ภาพเพื่อลดพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนของเด็กสมาธิสั้น.
สารนิพนธ์ปริญญาศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาพิเศษ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศิลปากร.
วินัดดา ปิยะศิลป์. (2550). ตำราจิตเวชเด็กและวัยรุ่น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ชมรม
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
สมหญิง
กลั่นศิริ. (2521). โสตทัศนศึกษาเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษา
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สุชาติ หล่อนกลาง.
(2536). การเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะการฟัง – การพูด
และความสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ที่
ได้รับการสอนตามแนว
ทฤษฎีธรรมชาติโดยใช้การ์ตูนกับการสอนโดยใช้คู่มือครู.
วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์ทรวิโรฒประสานมิตร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น